ถึงแม้ว่าตอนนี้โรคเอดจะดูเหมือนไกลตัวเรา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย มันยังคงเป็นภัยอันตรายร้ายแรงของมนุษย์ที่ยังไม่มีวิธีการรักษาในปัจจุบัน ดังนั้นผู้ที่เป็นมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิต โชคดีที่เรายังพอมีวิธีป้องกันโรคร้ายนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 วิธี ที่มีการยอมรับในระดับสากลแล้วว่าเป็นวิธีที่ได้ผล และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
1.การขลิบ
การทดลองของชายหนุ่มกว่า 3,000 คนพบว่าคนที่เข้าสุหนัตประมาณ 60% มีโอกาสน้อยที่จะติดเชื้อ HIV เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และการศึกษาจากสถานที่อื่นๆ คาดการณ์ว่าการขลิบอวัยวะเพศชายสามารถป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมกับ 2 ล้านชีวิตในประเทศแอฟริกา เฉพาะในเขตซาฮาราเพียงอย่างเดียว โดยการขลิบจะต้องดำเนินการอย่างปลอดภัย จากแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
2.สารป้องกันไมโครบิไซด์
อันนี้ถือเป็นวิทยาการใหม่มาก เป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคในรูปแบบของเจล หรือ ครีม ใช้สำหรับทาช่องคลอด หรือ รูทวาร ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อจาก HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการกักเชื้อไวรัสรบกวนไว้ในเซลล์และเสริมสร้างการป้องกันของร่างกายต่อการติดเชื้อ ตั้งแต่ปี 2016 เรามีผลิตภัณฑ์มากกว่า 25 รายการที่มีสารประกอบของไมโครบิไซด์ และปัจจุบันนี้สามารถหาซื้อได้ง่ายได้ทั่วไป
3.การคุมกำเนิดแบบขวางกั้น
การใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดแบบ ได้แก่พวกถุงยางอนามัย หรือ อุปกรณ์ป้องกันอย่าง Cervical Barriers ช่วยป้องกันไม่ให้อสุจิและเชื้อไวรัสแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อของคนทั่วไป ดังนั้นถ้าป้องกันไม่ให้เข้าสู่ร่างกายแต่แรก ก็จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงโรคติดจาก HIV ได้
4.ยาป้องกัน HIV
การทดสอบ “ยาป้องกัน” เอดส์สำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงในแคเมอรูนประมาณ 860 คน ชี้ให้เห็นว่าเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัย และเป็นไปได้ที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรค HIV ในขณะที่ตัวเลขยังน้อยเกินที่จะจำไปใช้พิสูจน์ประสิทธิภาพ การวิจัยนี้จึงสามารถพูดได้เต็มปากแค่ว่า “เป็นตัวเลือกแนะนำสำหรับการป้องกันเอชไอวี” ที่จะต้องทำการวิจัยกันต่อไปในอนาคต
5.วัคซีนต้าน HIV
ปัจจุบันนี้เรามีความหวังใหม่สำหรับวัคซีนต้าน HIV ที่ตอนนี้ได้ระดม16 ทุนรวมเป็นเงิน 287 ล้านจากมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ เป็นวัคซีนที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เรามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าเราจะมีวัคซีน ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลา 5 – 10 ปีเพื่อจะวิจัยและพัฒนามันขึ้นมาใช้งาน